The Power of Slow

The Power of Slow

Catagory
Feeling
Format
Publish
Published

วันก่อนไปกินข้าวกับพี่เล้ง พี่โบ้ เพื่อปรึกษาเรื่องการเตรียมการสำหรับกิจกรรม Outing ของโครงการ ChAMP Engineering ที่กำลังจะถึง น้องๆ อัพเดทโครงกิจกรรมที่วางไว้ โดยกิจกรรมจะเน้นไปที่การเพิ่มพูนทักษะในการทำงาน ทักษะในการใช้ชีวิต รวมไปถึงให้พี่ๆน้องๆ รู้จักกันในมุมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

.

พอน้องๆ ถามถึงการเพิ่มพูนทักษะการใช้ชีวิตกับพี่ๆ ว่าคิดว่าควรให้น้องๆ รู้เรื่องอะไร พี่เล้งบอกว่า

"ผมมีเรื่องนึงจะเล่าให้น้องๆ ฟังพอดี"

.

ว่าแล้วก็เข้าเรื่อง เนื้อหาหลังจากนี้จะเป็นเหมือนสปอยนิดนึงสำหรับกิจกรรม Outing ของโครงการเพราะงั้นถ้าคิดว่าตัวเองเข้าข่ายและไม่อยากโดนสปอยจงข้ามมันไป แต่ก็คิดว่าคนที่บังเอิญเห็นและมีโอกาสได้ไป Outing ของโครงการในปีนี้ก็น่าจะได้รับประโยชน์จากการฟังอีกครั้งจากพี่เล้งอยู่ดี

  • ----

"ศิลปะของ Slow"

.

โอเคยอมรับว่าเราเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง แต่วันนี้พอมาฟังอีกทีเหมือนจะเข้าใจมากขึ้น พี่เล้งบอกว่า

"น้องๆ สมัยนี้เหมือนได้รถที่เครื่องยนต์ดีเยี่ยม แต่ขับใช้พลังในรถไม่เต็มที่"

ทำไมถึงเป็นรถยนต์ที่เครื่องยนต์ดี แต่เหมือนขับไม่เป็น?

.

พี่เล้งบอกว่าโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่น้องๆ เจอกับพี่ๆในกิจกรรม Mentoring หลายคนมีการเตรียมตัวที่ไม่พร้อม บางคนมาแล้วเหมือนถามตามรายการคำถามที่เตรียมไว้ให้จบ หลายคนมาแล้วเหมือนกลายเป็นว่าทำให้ช่วงเวลาที่เจอกันผ่านไปเร็วกว่าที่มันควรจะเป็น

.

แล้วอะไรทำให้ช่วงเวลาผ่านไปเร็วกว่าควรจะเป็น?

.

การที่พี่ๆ ไม่รู้สึกถึงการที่น้องดื่มดำกับช่วงเวลาที่ได้อยู่กับพี่ๆ ไม่รู้สึกว่าน้องๆ จะอยากทำให้ช่วงเวลานี้มีความหมายและมีคุณค่า ซึ่งก็บอกยากเหมือนกันว่าความรู้สึกแบบนี้ทำไมเกิดขึ้นกับน้องคนนึง แต่ไม่เกิดกับน้องอีกคน อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีเมื่อสนทนากับคนนึง และรู้สึกต่างไปเวลาสนทนากับอีกคน อะไรเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้บทสนทนาที่เราสื่อสารกันอยู่น่าจดจำ?

.

"ต้องทำให้มัน Slow"

.

พี่เล้งบอกว่า เพราะชีวิตน้องๆ เกิดมากับความเร็ว เครื่องยนต์แรง เข้าถึงทุกอย่างด้วยปลายนิ้ว เตรียมคำถามอะไรก็ง่าย เร็ว สะเวก เหมือนมีอะไรที่อยากคุยด้วยก็เตรียมมาถามๆ แต่เมื่อหมดเรื่องที่ตัวเองจดมา ก็หมดความสนใจกับปัจจุบันที่อยู่ในบทสนทนา แต่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการ List คำถามไปถาม กับ ChatGPT หรือ LLM ให้ไล่ตอบคำถามเราให้หมด มันทั้งเร็ว และอ่านสรุปความง่ายกว่า

  • ----

ในรายการ # AI x Critical Thinking ของ Skooldio มีการคุยประเด็นคล้ายกันว่า การที่ตอนนี้ทุกคนสามารถถาม GPT ได้ตลอดว่าข้อมูลที่เราสงสัย คำตอบมันคืออะไร อะไรถูกต้องกว่าอีกอันนึง อะไรใช่อะไรไม่ใช่ เราถึงขั้นเค้นให้ AI พยายามรีดหรือยืนยันคำตอบออกมาให้ได้ว่าความจริงอันไหนจริงกว่ากัน จะให้เราเชื่ออันไหน ให้ AI บอกเรามาเลยยังสามารถทำได้

แต่ความจริงชุดที่ AI บอกเชื่อถือได้หรอ? แล้วเราในฐานะคนถามเชิงกึ่งบังคับให้ AI รีบขมวดคำตอบมาให้ เราเชื่อถือตนเองได้เหรอ? แล้วในตัว Model LLM ที่เค้าเทรนกันหลังบ้านเชื่อถือได้หรอว่าคำตอบจะเป็นกลาง? แล้วสรุปแล้วเรารีบสรุปได้เหรอ ว่าอะไรคือความจริง?

"เพราะความรู้ที่บันทึกในโลกกันแทบทั้งหมด มักเล็กกว่าความจริง" คิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราควรตระหนักเมื่อเราต้องการใช้มัน เราเชื่อมันได้แค่ในบางมุมมองเท่านั้น ให้มันช่วยในมุมของ productivity แต่อย่าพยายามเค้นเพื่อให้ความคิด หรือความเชื่อเราหนักแน่นไปทางใดทางหนึ่งมากขึ้น หรือถ้าเราคิดจะทำแบบนั้นก็ให้มันความเชื่อชุดตรงข้ามมาแย้งความคิดตัวเราเองด้วย เพื่อไม่ให้เราโน้มตัวไปด้านใดด้านหนึ่งเร็วเกินไป

  • ------

"น้องๆ สมัยนี้เกิดมากับระบบที่ทุกอย่างถูกป้อนเข้ามาหาตัว"

.

การป้อนไม่ได้เกิดจากวิธีการเลี้ยงดู แต่ทุกอย่างในมุมของผู้บริโภคถูกประเคนมาให้คนใช้งานอย่างรวดเร็ว คลิปทุกคลิปถูกจัดเรียงตามความสนใจและความน่าจะกดรับชม โพสต์ทุกโพสต์ที่ไหลผ่าน Feed เราบรรจงคัดสรรจาก Algorithm หลังบ้านที่ Optimize การชะลออ่านและกดอ่านคอมเม้นและแชร์ของเรา รูปทุกรูปถูกคัดสรรตามความเร็วช้าในสายตา และความเร็วที่ปัดและหยุดพักในแต่ละ Pixel จะส่งผลต่อการคัดสรรรูปและคลิปถัดไปเสมอ เพื่อทำให้เราได้เจอแต่สิ่งที่เราน่าจะชอบอ่าน ชอบดู ชอบเสพย์

.

และยิ่งในยุคที่มี AI เหมือนทุกอย่างถูกบีบอัด ถูกย่อความ ถูกย่อยให้เข้าใจง่าย เราสามารถแปะ Clip Podcast ยาว 3 ชั่วโมง แล้วให้ AI สรุปเหลือแค่กระดาษ A4 2 หน้า แล้วเราเอาบทสรุปของ A4 2 หน้าไปให้ AI อีกตัวอ่านเพื่อสรุปบทสรุปให้เหลือแค่ 1 ย่อหน้า ว่าแก่นสาระสำคัญคืออะไร

แต่เราคิดจริงๆ หรอว่าการที่เราสรุปเนื้อหาในบทสนทนา 3 ชั่วโมง มันจะเหลือชุดความรู้ที่ย่อยมาแล้วเหลือแค่ 1 ย่อหน้า? ถ้าเป็นยังงั้นจะมีบทสนทนาที่ยาวนาน 3 ชั่วโมงทำไม ปัญญาที่เกิดจากการรับชม 3 ชั่วโมงคืออะไร?

.

พอเป็นยังงั้นมันเหมือนกับชีวิตไม่จำเป็นต้องรอคอย ไม่จำเป็นต้องหลงทาง ไม่ชอบการเกิดความเงียบงันระหว่างสนทนา ไม่คุ้นกับการตีความบรรยากาศที่อ่านสถานการณ์ไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ชอบความคลุมเครือ เพราะชีวิตอยู่กับความชัดเจน ถ้าเหตุการณ์ไหนที่คลุมเคลือก็จะตั้งคำถามว่า "แล้วสรุปมันคือยังไง? มันแปลว่าอะไร? บอกบทสรุปง่ายๆ มาเลยได้มั้ย?" เหมือนกับเราอยากเอาสถานการณ์ที่เราเจออยู่เข้า ChatGPT และช่วยสรุปความให้ทีว่ามันแปลว่าอะไร แล้วจะแก้ปัญหายังไง

.

แต่หลายครั้งชีวิตมันไม่เป็นยังงั้น เพราะหลายครั้งในชีวิต แม้เรารู้บทสรุป และวิธีการแก้ปัญหาที่หนึ่งคนเจอ มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันทำงานกับเราได้ ส่วนสำคัญคือการย่อยข้อมูลที่ได้รับ และกรองข้อมูลดังกล่าวว่ามันสามารถใช้งานกับเราได้ขนาดไหนบ้าง ซึ่งข้อมูลส่วนนี้บางทีถ้าเราตั้งคำถามกับชีวิต (หรือก็ทั้งกับ LLM Model เอง) ไม่ถูก เราก็จะหยิบคำตอบที่ไม่ตรงกับปัญหาที่เราเผชิญไปใช้

.

เพราะฉะนั้นชีวิตที่ช้าขึ้นคือชีวิตที่เราตีความด้วยตัวเองมากขึ้น อ่านอุณหภูมิรอบตัว อ่านสมดุลของสิ่งต่างๆ ซึมซับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำนองที่เกิดขึ้นในบทสนทนา การรู้จังหวะที่ควรเติมหรือควรผ่อนในระหว่างการพูดคุย การรู้ว่าในแต่ละบทสนทนาเรามีเรื่องอะไรในมือที่พร้อมแชร์กับคนอื่นบ้าง และศึกษาคู่สนทนาและเตรียมการก่อนจะพูดคุยเพื่อทำให้การสนทนาแต่ละครั้งมีความหมาย

.

การรู้ตัวว่าเราต้องการอะไร คู่สนทนาต้องการอะไร แล้วต้องนำบทสนทนาอย่างไรให้เกิดประโยชน์กับวงสนทนามากที่สุด และเมื่ออยู่กับบทสนทนาก็อยู่ในบทสนทนาจริงๆ ซึมซับการพูดคุย ความหมายที่เกิดขึ้น แกะประเด็นสำคัญให้เจอ อ่านข้อความระหว่างบรรทัด นำชุดข้อมูลที่ได้รับจากการสนทนามาจดบันทึก ย่อยว่าแต่ละสิ่งกระทบกับเราอย่างไร อะไรเกิดประโยชน์บ้าง และค่อยสรุปเป็นชุดความรู้ที่เราพร้อมนำไปใช้

.

พอพี่เล้งเล่าจบว่าการใช้ชีวิตแบบ Slow คืออะไร น้องในโต๊ะก็ถามขึ้นว่า

"แล้วอะไรคือวิธีการที่ทำให้เราใช้ชีวิตแบบ Slow มากขึ้น อะไรคือสิ่งที่ทำให้เรา Appreciate กับความช้าเหรอครับพี่เล้ง?"

พี่เล้งเงียบ