Orb on the movements of the earth สุริยะปราชญ์ - ทฤษฎีสีเลือด

Orb on the movements of the earth สุริยะปราชญ์ - ทฤษฎีสีเลือด

Catagory
Feeling
Format
Publish
Published

สัปดาห์ก่อนดูอนิเมะเรื่องนึง ชื่อ "Orb on the movements of the earth สุริยะปราชญ์ -ทฤษฎีสีเลือด" ดูแล้วประทับใจมาก ทั้งลึกซึ้ง เข้มข้น และมันยังอ้างอิงกับบริบทที่แท้จริงในสังคมช่วงนั้น และก็ยังเป็นจริงอยู่ในบริบทปัจจุบันด้วย

แกนหลักของเรื่องเล่าถึงคนกลุ่มนึงที่มีแนวความคิดว่าดวงอาทิตย์ไม่ได้โคจรรอบโลก โลกตังหากที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันเรารู้กันอยู่แล้วว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ แต่อยากชวนให้นึกภาพย้อนกลับไปเมื่อราวๆ 500-600 ปีก่อน ที่ความเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของทุกสรรพสิ่ง ไม่เปลี่ยนแปลง ถูกตีความโดยศาสนจักรผู้ทรงอำนาจ แม้นั่นจะเป็นการตีความจากพระคำภีร์อีกทอดนึง แต่ความเชื่อดังกล่าวก็แข็งแรงมาก แข็งแรงจนกระทั่งแม้คำพูดในเชิงตั้งคำถามที่ต่างกันกับที่ศาสนจักรตีความ ก็ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง โดยผู้ที่ตีความเนื้อหาดังกล่าวต่างออกไป จะถูกตั้งข้อหาว่า "นอกรีต" และถูกผู้ไต่สวนจากฝั่งศาสนจักรทำการ "ปรับทัศนคติ"

โดยหากเหล่าผู้นอกรีตถูกตั้งข้อสงสัย จะถูกตั้งข้อที่ผู้ถูกกล่าวหาต้องเป็นผู้พิสูจน์ว่าตนเองนั้นบริสุทธิ์ นั่นจึงทำให้ผู้ที่ตั้งคำถามกับทฤษฎีที่โลกสามารถเคลื่อนที่ได้มักถูกตั้งข้อกล่าวหาราวกับว่าเป็นแม่มด และถูกมองว่าเป็นศัตรูกับศาสนจักร โดยผู้ไต่สวนไม่จำเป็นต้องหาหลักฐานมายืนยันการกระทำผิดของคนที่ถูกกล่าวหาว่านอกรีตด้วยซ้ำไป

การล่าแม่มดเช่นนี้ ทำให้การศึกษาเรื่องดาราศาสตร์ถูกจำกัดให้อยู่ในการกำกับดูแลของศาสนจักรเท่านั้น และผู้ที่ทำการศึกษาเรื่องนี้นอกศาสนจักรจะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต และเป็นหน้าที่ของผู้ไต่สวนที่ต้องทำให้กลุ่มคนที่น่าสงสัยว่านอกรีตยอมรับข้อกล่าวหา สืบสาวไปยังต้นตอ และกำจัดกลุ่มนอกรีตทั้งหมดให้สิ้นไป

การทำให้ผู้ที่ถูกสงสัยว่านอกรีตยอมรับข้อกล่าวหา และแจ้งที่มาของต้นตอก็เป็นการกระทำที่โหดร้าย ทารุณ โดยจะจับกลุ่มคนนอกรีตทรมานร่างกาย รวมไปจนถึงนำคนที่เป็นที่รักของผู้ที่ถูกกล่าวหาว่านอกรีตมาจับเพื่อทรมานซ้ำ เพื่อให้ผู้นอกรีตยอมรับ และเปิดเผยแหล่งที่มาของข้อมูล รวมถึงสาวไปถึงต้นตอของผู้ก่อตั้งความคิดนอกรีตเหล่านี้เพื่อกำจัดทิ้งทั้งหมด

นั่นทำให้ศาสนจักรในช่วงนั้น ปกปิดความจริง และปิดปากเหล่าผู้ตั้งคำถามที่ขัดแย้งกับศาสนจักร เพื่อให้ง่ายต่อการปกครองร่วมกัน

ส่วนที่ชอบ คือ Part 2 ที่อ๊อกซี ตัวละครที่ทำอาชีพนักฆ่ารับจ้าง ที่เชื่อว่าการฆ่าคนที่เห็นต่าง หรือคนที่ขัดกับศาสนจักรเป็นการกระทำเพื่อปกป้องศาสนา และเชื่อว่าเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ทุกคนจะได้ขึ้นสวรรค์ เค้ารอให้ชีวิตเดินทางไปถึงวันนั้น วันที่ที่จะไปอยู่ในที่อุดมคติ เปี่ยมด้วยความสุขอย่าง "สวรรค์" และการใช้ชีวิตบนโลกทั้งหมดเป็นการใช้ชีวิตเพื่อรอให้ถึงวันนั้น วันที่ชีวิตจะต้องจบลงและพระเจ้าจะมารับเรากลับสู่ "สวรรค์"

แต่แล้วนานวันเข้าอ๊อกซีก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า คนที่ตนฆ่าไป ก็ถูกพระเจ้ารับกลับสวรรค์เหมือนกัน ทำไมสีหน้าตอนวาระสุดท้ายของชีวิตถึงเป็นสีหน้าที่ไม่มีความสุข หน้าตาเหมือนคนตกนรกในชั่วขณะที่เสียชีวิต อ๊อกซีเริ่มตั้งคำถามกับวาระสุดท้ายของตัวเอง ว่าจะได้ขึ้นสวรรค์จริงมั้ย แล้วสิ่งที่ตนทำ จะทำให้พระเจ้ามารับตัวเค้าไปยังสวรรค์รึเปล่า?

ในขณะเดียวกัน อ๊อกซีก็เจอกับเพื่อนร่วมงานอีกคนชื่อกราส กราสเป็นนักฆ่ารับจ้างอยู่สังกัดเดียวกัน ต่างกันเรื่องเดียวคือ กราส หาความสุขในขณะที่ตนเองอยู่บนโลก ก่อนหน้านี้กราสเสียคู่ชีวิตไป ทำให้กราสก็รอวันขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับคู่ชีวิตตัวเองแบบเดียวกับอ๊อกซี แต่อยู่มาวันนึงกราสก็เริ่มมองดวงดาวบนท้องฟ้า ดวงดาวมันช่างสวยงามซะเหลือเกิน

กราสเริ่มหลงใหลในดวงดาว วาดภาพดวงดาวบนท้องฟ้าในแต่ละวัน นานวันเข้าเค้าเริ่มเห็นวงโคจรของดวงดาวที่เคลื่อนตัวอย่างผิดปกติ ชีวิตของกราสก็เริ่มเห็นความหมายจากความสงสัยตรงนี้ว่า ทำไมการเคลื่อนตัวของดวงดาวช่างไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ถ้าโลกเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งตามที่ศาสนจักรตีความ และทุกสิ่งเคลื่อนตัวรอบโลก ทุกอย่างบนท้องฟ้าต้องเคลื่อนเป็นวงกลมไม่ใช่เหรอ ทำไมการเคลื่อนตัวของดาวบางดวงจึงมีลักษณะไปกลับ ไม่คงที่ มันดูไม่สมเหตุสมผล

ในชั่วขณะที่กราสเสียชีวิต อ๊อกซีผู้ซึ่งอยู่ในวาระสุดท้ายเหมือนกัน กลับเห็นสีหน้าของกราสต่างออกไป ต่างไปจากคนทั้งหมดที่เค้าเคยเจอในวาระสุดท้าย กราสยอมสละชีวิตตนเองเพียงเพื่อแค่ส่งต่ออุดมการณ์และข้อสงสัยว่าโลกเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ต่อให้กับอ๊อกซี แต่ทำให้สีหน้าของกราสกลับมีความสุขหละ? ทั้งที่การตั้งคำถามที่ขัดแย้งกับหลักการของศาสนจักรจะทำให้เราลงนรก ทำไมสีหน้าในวาระสุดท้ายของชีวิตจึงช่างต่างกัน

หลังจากนั้น อ๊อกซีก็เริ่มเข้าใจความหมายของการมีอยู่ของชีวิต นั่นคือการ รับเอาปรัชญาที่โลกเคลื่อนตัวรอบดวงอาทิตย์มา และเชื่ออย่างสุดใจว่านั่นคือความหมายใหม่ของชีวิต โดยที่แม้ปรัชญาดังกล่าวยังไม่ถูกต้องเพราะยังไม่ได้เข้าใจข้อพิสูจน์ในเชิงวิทยาศาสตร์อย่างแน่ชัด แต่เมื่อเชื่อในปรัชญาดังกล่าวแล้ว ส่วนที่เหลือของชีวิตนี้คือการสนับสนุนให้เกิดการพิสูจน์ การเผยแพร่แนวคิด และการส่งต่อความเชื่อมั่นของแนวคิดนี้ต่อไป ไม่ให้แนวคิดนี้จบลง แม้จะต้องแลกด้วยการถูกทรมาน และชีวิตตัวเองก็ตาม

Orb on the movements of the earth เลยไม่ได้ให้ความหมายเพียงการต่อสู้กับของความเชื่อทางวิทยาศาสตร์กับศาสนา แต่ยังเล่าความหมายของการใช้ชีวิต การมีชีวิตอยู่เพื่อก้าวเข้าหาความจริง การยืนหยัดกับความเชื่อและหลักการความถูกต้องภายใต้ระบบอำนาจนิยม

ดูจบแล้วเห็นว่าข้อความที่อนิเมะเรื่องนี้ต้องการสื่อสารสามารถใช้ได้กับหลายประเด็นในสังคมทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน

สังคมที่คนตั้งคำถามเพื่อเข้าหาความจริงถูกปรับทัศนคติ ถูกทรมาน ไม่มีที่ยืนจากฝั่งผู้มีอำนาจ สังคมที่ความจริงไม่แม้แต่โดนตรวจสอบ แต่ถูกปกปิด ใส่ร้าย ปรักปรำ สังคมที่อำนาจมีไว้กดขี่ผู้ที่อาจตีความต่างจากตัวผู้มีอำนาจเอง ปรัชญาของสังคมแบบไหนกันนะ ที่เราควรใส่ความหมายของชีวิตเราลงไป?

ลองไปดูกันได้นะครับ มีทั้งหมด 25 ตอน ตอนละ 20 นาที ใน Netflix