Starbucks, Acquired Podcast Ep.3

Starbucks, Acquired Podcast Ep.3

Tags
Catagory
Format
Publish
Published

ตอนที่ 3 เข้าตลาดหลักทรัพย์

ตอนที่ 3 สำหรับ Series Starbucks โดยยังหยิบเนื้อหามาจาก Acquired Podcast แปะลิ้งค์ต้นทางและ 2 ตอนแรกให้ใต้คอมเม้นเหมือนเดิม

.

เมื่อ Starbucks เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ วิสัยทัศน์และภาพที่เห็นก็เริ่มชัดเจน Starbucks จะเป็นบ้านหลังที่ 3 ของลูกค้าก็เริ่มชัดขึ้น ในขณะเดียวกัน Starbucks ก็เริ่มมีคู่แข่งที่โตขนาดกันมาในรัฐอื่นๆ คือร้านกาแฟ Gloria Jeans

.

Howard และทีมผู้บริหาร เมื่อเห็นว่าคู่แข่งก็โตเทียบกันมา ทำให้ Starbucks ต้องเร่ง Scale นั่นเป็นสาเหตุที่ Starbucks จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ และ Starbucks เป็นเจ้าแรกๆ ในธุรกิจกลุ่มร้านกาแฟ ที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการเข้าตลาดหลักทรัพย์มาพร้อมกับความท้าทายและคำถามมากมายระหว่างที่ทำ Investor Roadshow เช่นจะเอาเงินทุนไปทำอะไร โอกาสทางธุรกิจของ Starbucks ในการระดมทุนมีอะไรบ้าง คู่แข่งคือใคร

.

ด้วยเพราะเป็นร้านกาแฟเจ้าแรก จึงถูกเปรียบราคาหุ้นกับมูลค่ากิจการร้านอาหารที่กำลังอยู่ในตลาด ณ ขณะนั้น ซึ่ง Howard ก็ defend ว่า Starbucks เป็นธุรกิจค้าปลีก (Price to Earning - PE ของธุรกิจอาหารต่ำกว่าธุรกิจกลุ่มค้าปลีก) จนสุดท้าย Starbucks ก็ได้กลายเป็น Chain กาแฟเจ้าแรกที่ทำการ Listed ในตลาดหลักทรัพย์ ที่ราคาขาย 17 USD ต่อหุ้น และปิดการขายวันแรกที่ 21 USD (+23% ณ วันปิดตลาดวันแรกที่เสนอขาย) ที่รายได้ 93 mUSD ในปีนั้น และทำให้ Market Cap อยู่ที่ 250 mUSD (PE 2.6 เท่า)

.

แต่ที่เจ๋งกว่านั้นคือ ก่อนหน้านั้นปีกว่าๆ Howard คิดว่าพนักงานทุกคนที่เป็นพนักงาน Starbucks เป็นคนที่มีคุณค่ากับบริษัท เพราะเป็นคนสร้างสรรค์นวัตกรรม และวัฒนธรรมของบริษัท ในสิ้นปีก่อนหน้าที่จะ IPO Howard เลยให้ Bonus สิ้นปีนั้นทุกคนจากก้อนเงิน เป็นหุ้นของ Starbucks โดยพนักงานกว่า 1,100 ชีวิตในปีก่อนหน้า IPO ได้รับผลตอบแทนเป็นหุ้นของ Starbucks ทุกคน โดยทุกคนในที่นี้หมายถึงคนที่เป็น Full Time Employee ทั้งหมดที่เป็นพนักงานของ Starbucks

.

นอกจากนี้ในเวลาเดียวกัน Starbucks ยังให้ Benefits กับพนักงานเป็นประกันสุขภาพกับพนักงานทุกคน โดยนอกจากให้ Full Time Employee แล้ว ยังให้กับ Part Time Employee อีกด้วย โดยเป็นร้านกาแฟเจ้าแรกเช่นกันที่มีสวัสดิการพนักงานสูงระดับนี้

.

ณ เวลานั้น พนักงานทุกคนได้รับหุ้นที่ราคา Strike Price ที่ 6 USD ต่อหุ้น ทำให้ ณ วันเปิดตลาดวันแรก พนักงานทุกคนได้กำไรที่ 3x จากหุ้นที่ตัวเองถือทั้งหมดทันที โดยถ้าพนักงานถือหุ้น Starbucks จนถึงปัจจุบัน (ของช่วงเวลาที่อัดคลิปซึ่งคือเมื่อประมาณ 7 เดือนก่อนนับจากเวลาที่เขียน) หุ้น "SBUX" เทรดอยู่ที่ 77 USD ต่อหุ้น แต่ด้วยราคานี้ หุ้น SBUX ผ่านการทำ Stock Split มาแล้ว 6 ครั้ง ซึ่งถ้าถือจนปัจจุบัน หุ้นนี้จะให้กำไร 800 เท่า จาก Payout ณ วันแรก

.

Starbucks เรียกทุกคนว่า "Partner" หรือหุ้นส่วน แทนที่จะใช้คำว่าพนักงานนับจากนั้น โมเดลการให้หุ้นกับพนักงานถูกใช้กับธุรกิจอื่นๆ มากขึ้น Costco (ห้างค้าปลีกในอเมริกา) และหลายบริษัทในปัจจุบันก็นำโมเดลนี้ไปเป็นผลตอบแทนให้กับพนักงาน - ปกติโมเดลนี้จะให้กับผู้บริหารอยู่แล้ว แต่การให้กับพนักงานทุกคนเป็นเรื่องใหม่ในตอนนั้น

ตอนที่ 3 เข้าตลาดหลักทรัพย์

ตอนที่ 3 สำหรับ Series Starbucks โดยยังหยิบเนื้อหามาจาก Acquired Podcast แปะลิ้งค์ต้นทางและ 2 ตอนแรกให้ใต้คอมเม้นเหมือนเดิม

.

เมื่อ Starbucks เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ วิสัยทัศน์และภาพที่เห็นก็เริ่มชัดเจน Starbucks จะเป็นบ้านหลังที่ 3 ของลูกค้าก็เริ่มชัดขึ้น ในขณะเดียวกัน Starbucks ก็เริ่มมีคู่แข่งที่โตขนาดกันมาในรัฐอื่นๆ คือร้านกาแฟ Gloria Jeans

.

Howard และทีมผู้บริหาร เมื่อเห็นว่าคู่แข่งก็โตเทียบกันมา ทำให้ Starbucks ต้องเร่ง Scale นั่นเป็นสาเหตุที่ Starbucks จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ และ Starbucks เป็นเจ้าแรกๆ ในธุรกิจกลุ่มร้านกาแฟ ที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการเข้าตลาดหลักทรัพย์มาพร้อมกับความท้าทายและคำถามมากมายระหว่างที่ทำ Investor Roadshow เช่นจะเอาเงินทุนไปทำอะไร โอกาสทางธุรกิจของ Starbucks ในการระดมทุนมีอะไรบ้าง คู่แข่งคือใคร

.

ด้วยเพราะเป็นร้านกาแฟเจ้าแรก จึงถูกเปรียบราคาหุ้นกับมูลค่ากิจการร้านอาหารที่กำลังอยู่ในตลาด ณ ขณะนั้น ซึ่ง Howard ก็ defend ว่า Starbucks เป็นธุรกิจค้าปลีก (Price to Earning - PE ของธุรกิจอาหารต่ำกว่าธุรกิจกลุ่มค้าปลีก) จนสุดท้าย Starbucks ก็ได้กลายเป็น Chain กาแฟเจ้าแรกที่ทำการ Listed ในตลาดหลักทรัพย์ ที่ราคาขาย 17 USD ต่อหุ้น และปิดการขายวันแรกที่ 21 USD (+23% ณ วันปิดตลาดวันแรกที่เสนอขาย) ที่รายได้ 93 mUSD ในปีนั้น และทำให้ Market Cap อยู่ที่ 250 mUSD (PE 2.6 เท่า)

.

แต่ที่เจ๋งกว่านั้นคือ ก่อนหน้านั้นปีกว่าๆ Howard คิดว่าพนักงานทุกคนที่เป็นพนักงาน Starbucks เป็นคนที่มีคุณค่ากับบริษัท เพราะเป็นคนสร้างสรรค์นวัตกรรม และวัฒนธรรมของบริษัท ในสิ้นปีก่อนหน้าที่จะ IPO Howard เลยให้ Bonus สิ้นปีนั้นทุกคนจากก้อนเงิน เป็นหุ้นของ Starbucks โดยพนักงานกว่า 1,100 ชีวิตในปีก่อนหน้า IPO ได้รับผลตอบแทนเป็นหุ้นของ Starbucks ทุกคน โดยทุกคนในที่นี้หมายถึงคนที่เป็น Full Time Employee ทั้งหมดที่เป็นพนักงานของ Starbucks

.

นอกจากนี้ในเวลาเดียวกัน Starbucks ยังให้ Benefits กับพนักงานเป็นประกันสุขภาพกับพนักงานทุกคน โดยนอกจากให้ Full Time Employee แล้ว ยังให้กับ Part Time Employee อีกด้วย โดยเป็นร้านกาแฟเจ้าแรกเช่นกันที่มีสวัสดิการพนักงานสูงระดับนี้

.

ณ เวลานั้น พนักงานทุกคนได้รับหุ้นที่ราคา Strike Price ที่ 6 USD ต่อหุ้น ทำให้ ณ วันเปิดตลาดวันแรก พนักงานทุกคนได้กำไรที่ 3x จากหุ้นที่ตัวเองถือทั้งหมดทันที โดยถ้าพนักงานถือหุ้น Starbucks จนถึงปัจจุบัน (ของช่วงเวลาที่อัดคลิปซึ่งคือเมื่อประมาณ 7 เดือนก่อนนับจากเวลาที่เขียน) หุ้น "SBUX" เทรดอยู่ที่ 77 USD ต่อหุ้น แต่ด้วยราคานี้ หุ้น SBUX ผ่านการทำ Stock Split มาแล้ว 6 ครั้ง ซึ่งถ้าถือจนปัจจุบัน หุ้นนี้จะให้กำไร 800 เท่า จาก Payout ณ วันแรก

.

Starbucks เรียกทุกคนว่า "Partner" หรือหุ้นส่วน แทนที่จะใช้คำว่าพนักงานนับจากนั้น โมเดลการให้หุ้นกับพนักงานถูกใช้กับธุรกิจอื่นๆ มากขึ้น Costco (ห้างค้าปลีกในอเมริกา) และหลายบริษัทในปัจจุบันก็นำโมเดลนี้ไปเป็นผลตอบแทนให้กับพนักงาน - ปกติโมเดลนี้จะให้กับผู้บริหารอยู่แล้ว แต่การให้กับพนักงานทุกคนเป็นเรื่องใหม่ในตอนนั้น