ช่วงเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา เรียกว่าเกิดภูมิแพ้หนักมาก เสียงเปลี่ยน หายใจไม่ออก ผสมกับอาการมีไข้ ผสมกับสัปดาห์ก่อนที่เจอ PM 2.5 หนักๆ จึงอนุมานเอาว่าต้องเกิดจาก PM 2.5 แน่ๆ เลยเกิดความข้องใจว่า สรุปแล้วฝุ่นมาจากไหน และหน่วยงานรัฐตอนนี้ทำอะไรกับต้นเหตุแล้วบ้าง มันติดเรื่องอะไรอยู่
.
พอดีพี่ Sanon แชร์คลิปของ กทม เข้ามาพอดี คิดว่าเป็นคลิปที่พยายามอธิบายองค์ประกอบของฝุ่นอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ และมีการวัดผล รวมถึงจัดลำดับการแก้ปัญหาจากต้นเหตุ แต่บอกตามตรงไม่ได้ Audit ว่าที่อาจารย์ชัชชาติพูดมีประเด็นไหนถูกผิดอย่างไร ถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติมก็แชร์กันเข้ามาได้นะครับ เนื่องจากคิดว่าฟังแล้วเกิดประโยชน์ เลยหยิบมาแชร์ทุกคน
.
Scope ของการแก้ปัญหาที่ กทม โฟกัส เล็งไปที่ PM2.5 เป็นหลัก เพราะมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวแน่ๆ เพราะซึมเข้าเลือดเราโดยตรง โดยเริ่มจากแหล่งที่มาและองค์ประกอบของ PM 2.5 ว่ามาจากแหล่งใดบ้าง และแนวทางการรับมือและจัดการ PM2.5 ในแต่ละแหล่ง รวมไปถึงกรณีที่มี PM2.5 มากขึ้น จะมีแนวทางบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบยังไงบ้าง
- -----
### PM 2.5 มาจากไหน
ขั้นแรกที่ต้องเข้าใจตรงกันคือ PM 2.5 ไม่เท่ากับ Air Quality เพราะงั้นถ้าเราในมือถือ แล้วบอกว่า AQI 150 ก็ยังบอกไม่ได้ว่า PM2.5 เยอะหรือน้อยต้องดูที่ค่า PM2.5 ตรงๆ เลย ซึ่งในคลิปอาจารย์แนะนำแอป AirBKK ซึ่งก็มาจากจุดตรวจที่กทม ติดตั้งรอบๆ กรุงเทพ โดย PM2.5 ซึ่งค่าเฉลี่ยในช่วงอื่นของกทม จะประมาณ 30 ไมโครกรัมต่อลูกบากศ์เมตร(μg/m^3) ซึ่งไม่ได้แปลว่าจะสุขภาพดีที่เลขนี้นะ อาจจะเรียกว่าสุขภาพไม่ทรุดอย่างรวดเร็วมากกว่า เพราะทาง WHO แนะนำว่าระดับ PM2.5 ที่เรียกว่าปลอดภัยต่อสุขภาพคือ 5 μg/m^3 ซึ่งมันคืออากาศตอนที่ญี่ปุ่น หรือออสเตรเลีย ไม่เคยพบเห็นในไทย
.
ปัจจัยที่ 1 ซึ่งคิดเป็น 30 μg/m^3 แรกนั้นเกิดจากตั้งแต่ PM2.5 ในเมืองกรุงอยู่แล้ว ที่มีมาจากรถ ทั้งรถยนต์ส่วนตัว สาธารณะ รถบรรทุก โดยเกิดเยอะกับรถดีเซล หรือรถที่ไม่ค่อยได้เปลี่ยนไส้กรอง หรือน้ำมันเครื่อง รวมถึงการเผาไหม้จากโรงงานผลิต หรือไซท์ก่อสร้าง
.
ปัจจัยที่ 2 อีก 30 μg/m^3 จากการเผาทางการเกษตร ซึ่งถ้ามีอันนี้เข้ามาผสมโรงกับก้อนแรก ก็จะเริ่มสุขภาพไม่ดีละ ไม่ควรอยู่ที่แจ้งนานๆ ซึ่งถ้าให้พูดอีกแบบปัญหาการเผาทางการเกษตรคือปัญหาเศรษฐกิจ เพราะมันคือ Operation การทำนาที่เน้นปริมาณ แต่ไม่เน้นคุณภาพของผลผลิต เพราะเราไม่มีตลาดผลผลิตแบบ Premium รองรับ ตลาดยังเน้นที่ปริมาณที่ผลิตได้เป็นหลัก เลยทำให้เกษตรต้องเร่งทำผลผลิตในระยะเวลาที่สั้น ต้นทุนต่ำที่สุด เลยเกิดการเผาตั้งแต่เผาตอซังข้าว เผาต้นข้าวโพดหลังเก็บเกี่ยวเพื่อเตรียมหน้าดิน เผาไร่อ้อยก่อนเก็บเกี่ยวเพื่อลดต้นทุนการตัดอ้อยสด (ถ้าตัดไร้อ้อยสดจะลำบากมาก เพราะใบอ้อยคม และต้องสางใบอ้อย ซึ่งใช้เวลานานขึ้น 4 เท่าและต้นทุนสูงกว่าเกือบ 15%)
.
ปัจจัยที่ 3 อีก 30 μg/m^3 จากการที่อากาศปิด ทำให้ฝุ่นที่เกิดจาก 2 ปัจจัยแรกสะสม คือช่วงต้นปีอากาศจะปิดเหมือนเป็นฝาชี ทำให้ลมนิ่ง มันเหมือนไม่มีลมมาเป้า ฝุ่นก็จะเหมือนลูกบอลหิมะ ที่พอทุกที่สร้างฝุ่นขึ้นมาพร้อมกัน มันก็แค่ร่วงลงมาที่ต่ำ และกองอยู่ตรงนั้น และไม่ไปไหน ซึ่งปัจจัยนี้แก้ไขไม่ได้ มันเป็นที่สภาพอากาศ ถ้าจะแก้ไปแก้ที่ 2 ปัจจัยแรก ให้เคลียร์ เพราะถ้าอากาศนิ่งแบบมีฝาชี แต่มันไม่มีฝุ่นตกลงมา ฝุ่นมันก็ไม่เยอะ มันแค่ไม่มีลม
.
หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วรู้ได้ไงว่ามันอย่างละ 30 เพราะว่า PM 2.5 จากแต่ละแหล่ง จะมีธาตุที่ผสมมาด้วยต่างกัน ทำให้จำแนกต้นตอของฝุ่นและสัดส่วนของฝุ่นแต่ละประดภทในแต่ละช่วงได้ ซึ่งอันนี้ทางอาจารย์บอกว่าทำตั้งแต่วาระแรก และแพลนเรื่องนักสืบฝุ่นมาตั้งแต่ก่อนได้รับตำแหน่ง
.
ซึ่งแนวทางในการแก้ไข ปัจจัยที่ 1 และ 2 ก็ต่างกัน และมีแหล่งกำเนิดย่อยๆ ในหลายปัจจัยต่างกันด้วย ทำให้วิธีการแก้ไขมีหลากหลายแนวทาง โดยขอลิสสิ่งที่คิดว่ากทมทำ แล้วส่งผลมาให้อ่านเพิ่มเติม ข้อมูลทั้งหมดแปะให้ในคอมเม้น
- ----
### แนวทางลด PM2.5 ที่เกิดในเมือง ###
1. ลดฝุ่นจากรถบรรทุก ผ่านการตั้งเขต Low Emission Zone ที่ไม่ให้รถบรรทุกเข้าพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก รวมพื้นที่ 13 เขตกลางเมือง รถบรรทุกคันไหนไม่ลงทะเบียนเข้ามาจะโดนปรับ โดยวิธีนี้กทมวางแผนกว่าครึ่งปี ใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ควบคุมรถเข้าพื้นที่ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ปัจจุบัน มีรถลงทะเบียนบัญชีสีเขียวกว่า 38,000 คัน ซึ่ง 2 วันที่ผ่านมารถที่เข้ามาในพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก เกือบ 7,000 คัน ขึ้นบัญชีสีเขียว (ก็คือรถที่สร้างฝุ่นน้อย) ราว 10 เปอร์เซ็นต์
2. ลดฝุ่นจากรถยนต์ทั่วไป ด้วยการกระตุ้น และลดค่าใช้จ่ายสำหรับการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองเพื่อช่วยเหลือประชาชนในช่วงเศรษฐกิจไม่ค่อยดี โดยปัจจุบันเปลี่ยนไป 260,752 คัน จากเป้า 500,000 คัน แต่พูดตามตรง ผมพึ่งเคยได้ยินนโยบายนี้ และไม่รู้จะเปลี่ยนแบบลด cost ได้ที่ไหนบ้าง
3. ลดฝุ่นจากโรงงาน และไซท์ก่อสร้าง โดยเพิ่มความเข้มงวดให้ กทม สามารถสั่งปิดไซท์ก่อสร้างได้หากมีการสร้างฝุ่นเกิดเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งกทมตรวจไปแล้วกว่า 236 โรงงาน 105 แพลนท์ปูน และสั่งปิดไป 17 ที่ที่เกิดมาตรฐาน
- ----
### แนวทางลด PM2.5 ที่เกิดจากการเผาทางการเกษตร ###
ต้องบอกว่าการเผาทางการเกษตรที่จริงแล้วมาจากทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน และในประเทศส่วนใหญ่ก็อยู่นอกกทม จึงเป็นปัญหาที่ต้องร่วมมือกันหลายฝ่ายจากภาครัฐ
1. ลดฝุ่นจากการเผาในกทม โดยการให้ยืมรถอัดฟาง เพื่อทำให้เกษตรกรไม่ต้องเผาแต่ได้ความรวดเร็วในการปรับหน้าดินที่ใกล้เคียงกัน ใครจะรู้ว่ากรุงเทพมีพื้นที่ทำการเกษตรนับหมื่นไร่ กทมจึงมีโครงการสนับสนุนเครื่องอัดฟางให้เกษตรกรยืมใช้ฟรี ปัจจุบันมีเกษตรกรจองแล้ว 2,000 – 3,000 ไร่ จากเขตหนองจอกและคลองสามวา
- ----
### แนวทางลดผลกระทบ PM2.5 ที่เกิดจากอากาศปิด ###
1. ทำฝนเทียม ตอนแรกก็งงว่าทำฝนเทียม ให้ฝนมาล้างฝุ่นไปมันจะเวิคหรอ? แต่พอฟังอาจารย์แล้วเค้าก็บอกว่าฝนเทียมจะเจาะช่องอากาศในโดมฝาชี ทำให้อากาศถ่ายเทได้มากขึ้น อันนี้ไม่รู้เชื่อได้แค่ไหน ถ้าใครพอรู้ดีเทลอธิบายเพิ่มหน่อย
2. ทำห้องเรียนปลอดฝุ่นของกทม คือต้องอธิบายก่อนว่าสาเหตุที่ยังต้องเปิดเรียนแล้วมีพื้นที่ปลอดภัยให้ เพราะเด็กอนุบาลในครอบครัวที่อยู่ในโรงเรียนสังกัด กทม พ่อแม่ก็หาเช้ากินค่ำ โรงเรียนก็เหมือนพื้นที่ดูแลเด็กเล็กให้กับพ่อแม่ยามกลางวัน โรงเรียนจึงเป็นสิ่งจำเป็น และบางทางการอยู่โรงเรียนปลอดภัยกว่าการเดินทางไปพร้อมพ่อแม่ ที่ก็ต้องหาเช้ากินค่ำ การทำให้โรงเรียนอยู่อาศัยได้แม้ยามฝุ่นเยอะจึงสำคัญ ห้องเรียนปลอดฝุ่นในโรงเรียน กทม. จากทั้งหมด 437 โรงเรียน มีชั้นอนุบาล 429 โรงเรียน มีห้องเรียนอนุบาล 1,966 ห้อง ปรับปรุงเสร็จแล้ว 744 ห้อง และทำให้เสร็จทั้งหมดภายในปีนี้
3. กระตุ้นให้คนทำงาน WFH อันนี้ก็ตรงตัว ทำงานที่บ้าน ไม่ต้องขับรถจะได้ไม่สร้างฝุ่น โดยเชิญชวนบริษัทเอกชนเข้าร่วมโครงการ WFH ถ้าบริษัทไหนทำได้ โดยปัจจุบันมีบริษัทเข้าร่วม 155 บริษัท รวมจำนวนพนักงานเกือบ 100,000 คน แต่อันนี้ไม่แน่ใจในเชิงการบังคับใช้ ว่าจะดูยังไงว่าบริษัทไหนใครความร่วมมือบ้าง
- -----
จริงๆ มีอีกหลายเรื่องมากที่ กทม รู้ว่าควรทำแต่ก็ไม่ใช่อำนาจ กทม โดยตรง เช่น
1. จัดการกับรถเมล์ควันดำโดยการเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าภายในหนึ่งปี ออกเป็นข้อบัญญัติกทมไปแล้ว แต่ติดในขั้นที่กฤษฎีกาตรวจแล้วว่า กทมไม่มีอำนาจในการทำ แต่เป็นของ "กระทรวงคมนาคม" ซึ่งทำให้ข้อบัญญัตินี้ไม่ได้ใช้งาน
2. ตรวจรถยนต์ควันดำเข้มขึ้น โดยปรับเกณฑ์ค่าความทึบแสงตอนตรวจควันดำ จาก 30 เป็น 10 ซึ่งทำให้รถควันขาวหลายคันก็จะต้องถูกปรับด้วย ซึ่งมีทั้งรถยนต์และรถสาธารณะเข้าข่ายนี้จำนวนมาก แต่อันนี้อยู่ภายใต้ "กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม"
3. ให้กทม ตรวจและปรับรถ 6 ล้อขึ้นไปได้ เพื่อช่วยกำกับดูแลรถกลุ่มนี้ที่เข้ามาในโซนเมืองให้เข้มงวดยิ่งขึ้น เพราะตอนนี้ได้แต่แจ้งเตือน และขอให้ไปปรับเปลี่ยน
- -----
เป้าหมายของจุดที่เราควรเล็งคือไม่ใช่ให้ทุกอย่างกลับมาที่ 30 μg/m^3 แต่มันควรไปที่ต่ำกว่า 5 μg/m^3 นั่นคือจุดที่เราจะเรียกได้ว่าหายใจได้เต็มปอดของจริง ซึ่งแปลว่าอากาศไม่ต้องปิด เกษตรกรไม่ต้องเผา เวลาอื่นในกทม ปอดเราก็ไม่ได้สุขภาพดีอยู่ดี เพราะฉะนั้นต้องแก้ไขที่ปัจจัยที่ 1 มากที่สุดในทัศนะของผม
ขนาดสรุปยังยาวมาก เลยเข้าใจว่าทำไมคนถึงไม่อยากอ่าน แต่ก็อยากสรุปอยู่ดีเผื่อใครคิดว่าวิธีการไหนมีประโยชน์ก็แนะนำต่อได้นะครับ เผื่อเป็นประโยชน์ต่อคนทำงานเมืองด้วย เดี๋ยวแปะข้อมูลแหล่งที่มา รวมถึงช่องทางที่มีประโยชน์ให้ที่คอมเม้น

All reactions:
13Kanticha Jarangkul, Sitthichat Sukpholtham and 11 others