คุณพร้อมวางบอลลูกไหนลง

คุณพร้อมวางบอลลูกไหนลง

Catagory
Feeling
Format
Publish

วันนี้นั่งฟังที่พี่เป๊ก ที่ตอนนี้เป็น CEO ของบริษัท Innovest X หรือก่อนหน้านี้ในชื่อ SCBS สัมภาษณ์กับเพจ 8 บรรทัดครึ่งของพี่ต้อง พอมาถึงคำถามสุดท้ายที่เป็น QA จากทางบ้านก็ถามถึงเทคนิคการแบ่งเวลาของสุขภาพ งาน ครอบครัว ว่าเป็นยังไง เพราะพี่เป๊กดูมีพลังงานตลอดวัน

พี่เป๊กเริ่มต้นจากการยอมรับว่าตนเองก็ไม่ได้สามารถแบ่งเวลาได้ดี แต่ก็จะพยายามจัดลำดับความสำคัญของตัวเอง แน่นอนว่าต้องกันให้เรื่องครอบครัว และสุขภาพ เหมือนกับทุกคน

แต่สำหรับเรื่องงาน เรื่องการเติบโต พี่เป๊กเปรียบเทียบว่าเหมือนกับการโยนลูกบอลกลางอากาศ ตอนเราทำงานช่วงแรกเราเป็น Yes Man รับทุกงาน รับทุกโอกาส พอโยนลูกบอลลูกเดียวแล้วรับได้ เราก็โยนไปเรื่อยๆ พอลูกบอลเข้ามาเพิ่ม เป็นสอง สาม สี่ ห้าลูก พอเรารับลูกที่หกมาเพิ่ม ปรากฎว่าเราพลาด บอลทั้งหกลูกตกพื้นหมด และทำให้บอลห้าลูกที่ผ่านมาพลอยเสียไปด้วย เลยมีสองสิ่งที่ต้องจำไว้เกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญ คือ

  1. เรารับบอลได้กี่ลูก? เรื่องนี้มันเหมือนการกินเหล้า เราจะไม่มีวันรู้ว่าเรากินเหล้าได้สูงสุดกี่แก้ว ถ้าเราไม่เมาแบบวาร์ปซะก่อน เราถึงจำได้แม่นว่าแก้วสุดท้ายที่กินก่อนหมดสติเป็นแก้วที่เท่าไหร่ กระบวนการนี้คนส่วนมากคนเราต้องพลาดก่อนถึงจะจำได้แม่นว่า รับบอลกี่ลูกถึงพลาด และส่วนมากเราจะพลาดทำบอลทุกลูกที่โยนอยู่พังหมด แต่นั่นไม่เป็นไร อย่างน้อยมันทำให้เรารู้ลิมิตการโยนบอลของตัวเอง
  2. ถ้าเราจำได้แล้วว่าเราโยนบอลกลางอากาศพร้อมกันได้แค่ 5 ลูก เมื่อบอลลูกที่ 6 เข้ามา เราจะปล่อยบอลลูกไหนลงพื้น นั่นคือศาสตร์ของชีวิต เป็นสิ่งที่สิบวิก็รู้ว่ามันสำคัญ แต่กว่าจะเข้าใจมันถ่องแท้อาจจะใช้เวลาทั้งชีวิต การเลือกว่าบอลลูกที่ 6 สำคัญหรือไม่ แล้วถ้าสำคัญ ลูกไหนจาก 5 ลูกที่เราควรปล่อย

เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงความทรงจำตอนที่เอารถฟอมูล่าไปแข่งที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นน่าเป็นช่วงที่พึ่งจบปีสี่มาหมาดๆ คนอื่นเค้าเริ่มหางานได้งานกันหมดแล้วตั้งแต่เรียนจบ ส่วนตัวเองมานั่งทำรถ formula ขนาดเล็ก แล้วแบกรถไปแข่งที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก งาน Design งานวิศวกรรมเราก็ทำไม่ค่อยได้ อาจจะทำได้แค่ operation ง่อยๆ ที่เราก็ไม่ค่อยถนัด แต่สุดท้ายก็ได้บินไปญี่ปุ่นกับเพื่อนๆ ตอนนั้นคนในทีมน่าจะมีประมาณ 15 คนน่าจะได้ ทุกคนลุยกับรถคันนี้มาก

จำได้ว่าไปถึงเราจะยังไม่ได้แข่งทันที มันจะมีกระบวนการตรวจสภาพรถ ซึ่งตรวจทั้งในมุมของการดีไซน์ การประกอบ น้ำหนักรถ และมีรายการตรวจอีกเป็นสิบๆเรื่องที่ทำก่อนแข่ง ในระหว่างการตรวจน้ำหนักรถ ก็มีวิศวกรชาวเยอรมันคนนึง ซึ่งเป็นกรรมการของการแข่งขันด้วย มาตรวจน้ำหนักรถ เค้าเดินวนๆแถวรถสักพัก ชั่งน้ำหนักรถ แล้วเอากระดาษแผ่นนึงขึ้นมา พร้อมวาดรูปเครื่องบินให้ดู

"คุณเห็นเครื่องบินลำนี้มั้ย" . "ครับ" ทีมทุกคนก็เดินมาช่วยกันฟัง . "ถ้าอยากให้เครื่องบินลำนี้บินได้เร็วขึ้นต้องทำยังไง" . "เพิ่มขนาดเครื่องยนต์ครับ" . "ใช่ การเพิ่มขนาดเครื่องยนต์ทำให้เครื่องบิน บินเร็วขึ้น แต่มันไม่ใช่วิธีการเดียว แต่คุณใช้วิธีการนี้แหละในการเพิ่มความเร็วรถคุณ" "แล้วคุณสังเกตมั้ย พอเพิ่มขนาดเครื่องยนต์ โครงสร้างคุณก็ต้องแกร่งขึ้น น้ำหนักมากขึ้น โครงคุณต้องใหญ่ขึ้น มารองรับขนาด ล้อใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มอัตราเร่ง" "ผลสุดท้ายคุณจะได้เครื่องยนต์ที่ก็เร็วขึ้นเล็กน้อย แต่ใหญ่ขึ้นมาก และมันจะกินน้ำมันมาก" . ทีมฟังก็เริ่มเห็นภาพตาม คนอื่นไม่รู้เป็นยังไง แต่ผมเข้าใจว่าเค้าพยายามบอกว่ามาเราทำรถหนักเกินไป . "คุณต้องตัดสิ่งไม่จำเป็นทิ้ง โครงที่ทำให้รถเบาที่สุดแต่ก็ยังปลอดภัย Body ที่เบาที่สุด แต่ก็สร้างแรงกดอากาศที่ดี ถ้าทำเรื่องพวกนี้ได้ รถคุณก็จะเร็วขึ้น แม้ว่าใช้ขนาดเครื่องเล็กกว่านี้"

คิดไปคิดมาก็นึกได้ว่า คนเราอาจจะไม่ต้องอัดหลายๆอย่างเข้าตัว แต่บางทีเลือกแค่บางอย่างที่สำคัญจริงๆ และตัดส่วนที่เหลือออก เราก็ไปต่อข้างหน้าได้เร็วขึ้น แต่ความยากคือจะรู้ได้ไงว่าอะไรสำคัญ แล้วอะไรที่ต้องตัดทิ้งไป