Tags
youtube
Metadata
- Title:: คลิปนิ้วกลม
- Author:: #นิ้วกลม
- Url::https://youtu.be/WAnOHbAGwas?si=1OTndXWOPyJEnGt5
- Medium:: #literature/youtube
- Status:: #done
- Created Date:: 2024-04-13
- Hub::
- Tag:: #dhamma
Summary
- ความจ๋อย ก็คือความ Fail เรามีทั้ง Fail เล็กและใหญ่
- ความ Fail เล็กๆเราเจอบ่อย เจอทุกวัน อาจจะเป็นรถติด งานยุ่ง สิ่งที่หวังไม่เป็นไปตามที่คิด
- แต่ความ Fail ที่ใหญ่จะทุบความเชื่อของเราให้แตก แล้วเราต้องใช้เวลาประกอบตัวเองขึ้นใหม่ มันจะทุบความเชื่อเดิมที่สร้างเราคนก่อนเจอเหตุการณ์ขึ้นมา เช่น
- ก่อนหน้านี้คุณอาจจะเป็นคนที่เชื่อในการทำดีได้ดี ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่พอคุณพอว่ามันมีเรื่องบางเรื่องที่คุณไม่สามารถที่จะใช้ความพยายามเข้าสู้ได้ อย่างเช่นความรัก คนที่คุณพยายามทุกอย่างเพื่อจะขอความรักมา อาจจะไม่ได้รักเรา เค้าอาจจะชอบเราเป็นบางช่วงเวลา แต่เค้าก็ไม่ได้รักเรา แล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้ เราอาจจะคนพบว่าบางเรื่องมันก็ไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลกัน
- เอ็นไขว้หน้าขาด ความธรรมดาที่แสนวิเศษ
- พี่เอ๋ เอ็นไขว้หน้าขาดเมื่อประมาณปีก่อน จากการที่ตัวเองไปกระโดดในเพลงตาสว่างของ Moderndog ที่ตัวเองก็กระโดดมาตลอดในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีปัญหา แต่พอกระโดดครั้งนี้เอ็นไขว้หน้าขาด
- ผลคือ เดินไม่ได้ไปช่วงนึง ต้องฟื้นฟูร่างกาย ในช่วงเวลานั้น เข้าห้องน้ำยังไม่ได้ ต้องให้พ่อซึ่งแก่กว่าตัวเองตั้งเยอะมาดูแล อาบน้ำก็ไม่ได้ ต้องการคนดูแลตลอดเวลา ทำให้เข้าใจเรื่องเล็กๆ แค่การเดินได้อย่างคนปรกติ ก็ดูพิเศษแล้วสำหรับตัวเองในตอนนั้น แล้วมันก็ทำให้เข้าใจมาถึงตอนนี้ด้วยว่าชีวิตปกติของเรามันก็พิเศษนะ เราหายใจได้ มองเห็น รับรู้รสสัมผัสได้ ไม่มีโรค มันไม่วิเศษเหรอ
- ตอนเด็ก ไม่พอใจในตัวเอง ต้องพิสูจน์ตัวเอง
- ตอนเด็กเราต้องได้รับการยืนยันจากภายนอกตลอดเวลา เราเก่งรึยัง อันดับเราได้ที่เท่าไหร่ ผลิงานเราเป็นที่ยอมรับขนาดไหน เพราะเรารู้สึกว่าที่ที่ตัวเองอยู่ไม่ปลอดภัย ถ้าเราอยู่ที่เดิมยังงี้จนถึงแก่ เราจินตนาการได้ถึงแต่ความ จน ไม่เจริญ น่าเบื่อ เรานึกภาพดีๆ ของตัวเองไม่ออกเลย ถ้าเราไม่สร้างผลงานที่เป็นที่ยอมรับ
- ตอนอายุ 20-30 ต้นๆ เราเลยต้องการสิ่งนี้มากๆ เราต้องฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก ทำงาน พิสูจน์ว่าเรามีตัวตน มีที่ยืน เราสร้างอัตตา และมันพาเรามาถึงความภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ
- ฉากจบของวัยเด็กเราคงเป็นชีวิตที่เราไม่เสียดายกับมันเลย เราสร้างสิ่งที่เราภูมิใจกับมันมากๆ เมื่อมองย้อนกลับไป
- ชีวิตของคนที่พี่เอ๋ไปสัมภาษณ์มาหลายท่านก็เป็นเช่นนี้ คือใช้ชีวิตวัยเริ่มทำงานอย่างหนัก สร้างผลงานที่เป็นที่ยอมรับในหน้าที่การงานและสังคม และเมื่อมาถึงวัยที่อายุมากขึ้น ก็พึ่งพอใจกับชีวิตตัวเอง ภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองได้ทำมา
- พอเริ่มพอใจในชีวิตตัวเอง ตอนนี้เลยกลัวมันหายไป
- น่าแปลกที่คนที่ดูไม่ยึดติดกับสิ่งของ อย่างพี่เอ๋กลับมีเรื่องที่กังวลที่สุดคือกลัวทุกสิ่งที่ตัวเองสร้างมาสูญสลายไป
- พี่เอ๋เปรียบเทียบกับแมวตัวโปรด ที่มันน่ารักมาก แต่ก็คิดอยู่เสมอว่าถ้าวันนึงมันตายไป จะเป็นยังไงนะ เรากลัวมันตายมาก อย่างที่บอก ความสุขที่สุดของเราก็คงเป็นความทุกข์ได้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากลากับสิ่งนั้น
- พี่เอ๋เล่าว่าเพราะ "เราพอใจกับชีวิตตัวเองตอนนี้มากๆ" ซึ่งมันก็ยิ่งสร้างความยึดติดนะ แต่มันเหมือนกับ เราสร้างมันมา แล้วเราไม่อยากให้มันหายไปเลย แต่ใครจะรู้ ทุกอย่างมันก็อนิจจัง มันควบคุมไม่ได้ ว่าของที่เราสร้างมาทั้งหมดจะหายไปเมื่อไหร่ สิ่งที่เราทได้มากที่สุดคือการมีสติ วิปัสสนาบ่อยๆ รู้ว่าสิ่งที่เราทำแรงกระเพื่อมมันไปถึงไหน เราอาจจะป้องกันสิ่งที่เรากังวลก็ได้
- ช่วงเขาที่สวยสำหรับเรามันอาจจะมีแค่ช่วงนึง ซึ่งอาจจะไม่ได้ช่วงสูงที่สุด
- พี่เอ๋ชอบเดินเขา แล้วพอเราขึ้นไปถึงยอดเขาบางลูก เราจะรู้ว่าเราอาจจะไม่ได้อยากอยู่ที่ยอดเขาตลอดเวลาก็ได้ ที่ยอดเขา ความกดอากาศมันบางมาก เราหายใจลำบาก มันเหนื่อยง่ายมาก
- แต่ในช่วงความสูง 2000-3000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล มันสวยมาก แล้วมันเป็นที่ที่เราอยู่ได้ มันเลยทำให้เราเข้าใจว่ามันจะมีที่ที่เราอยู่แล้วเราสบายใจ เรารู้ว่าเออ บางทีเราก็ชอบความสูงประมาณนี้นะ เราเก่งได้เท่านี้นะ เราหล่อได้เท่านี้ แต่นั่นแหละ มันอาจจะเข้าใจมากขึ้นเมื่อเราไปถึงยอดเขาบางลูก แล้วรู้ว่ามันก็แค่นั้น คำพูดเราเลยมีน้ำหนัก
- แล้วเมื่อเราไปถึงยอดเขาแล้ว เราก็จะเห็นว่า มันมียอดเขาอีกลูกอยู่ถัดไป แล้วก็มีคนที่ยืนรออยู่ที่ยอดนนั้นแล้วซะด้วย
- เมื่อถึงจุดนั้นเราก็จะรู้ว่าเป้าหมายไม่มีอะไรจริง เราปีนมาลูกแรก แล้วมันก็จะมีลูกที่สอง สาม สี่ มันแค่ต้องปั่นและปีนไปเรื่อยๆ คนที่ชอบสิ่งนั้นก็คงทำได้ แล้วมันก็เหมือนเป็นอนัตตา ไม่มีอะไรจริง ทุกอย่างคือภาพสมมติ และแรงกระเพื่อมที่เราสร้าง มันถูกสร้างมาจากแรงกระเพื่อมที่สิ่งรอบตัวเราส่งมาหาเราเหมือนกัน เรามีผลต่อคนอื่น คนอื่นมีผลต่อเรา แต่ทั้งหมดก็ควบคุมไม่ได้ เราแค่รู้ว่ามันมีผลซึ่งกันและกัน แต่พอมันซ้อนทับกันไปทุกสิ่งอย่าง เราจะประเมินผลลัพธ์มันได้ยังไง
- เมื่อเข้าใจว่าเราสร้างแรงกระเพื่อมให้ที่ที่เราปรากฎตัว เราจะเข้าใจถึงความงามในชีวิต
- เมื่อเรารู้ว่าการปรากฎตัวของเรา ตั้งใจสร้างแรงกระเพื่อมให้กับคนอื่นในทางที่มีประโยชน์กับสิ่งรอบตัวได้ ชีวิตเราก็จะมีความหมายมากขึ้น และเราก็จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าสิ่งที่เราทำมีคุณค่า
- เมื่อเราเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำมีคุณค่า เราก็จะเริ่มเตรียมการให้การปรากฎตัวของเรามีประโยชน์สูงที่สุด การเตรียมการนั้นก็จะยิ่งมีคุณค่า
- เมื่อเราเตรียมการอย่างมีคุณค่า เพื่อสร้างสิ่งที่ดีที่สุดยามที่ผลงานปรากฎ เราก็จะจัดลำดับความสำคัญ และตัดสิ่งรบกวนรอบๆ ตัว ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลงานที่เราบรรจงสร้าง
- เมื่อนั้นเราจะอยู่ในภาวะลื่นไหล หรือ Flow State เพราะเราเข้าใจทั้งหมดว่า สิ่งที่เรากำลังทำสร้างประโยชน์อย่างไร และในทางกลับกัน Flow State หรือสมาธิ จะไม่เกิด ถ้าเราไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เราทำสร้างประโยชน์ยังไง และเมื่อเราเตรียมตัวและจัดลำดับความสำคัญไม่ดี มันก็จะไม่เกิด Flow State
- อันสุดท้ายที่ไม่ได้กล่าวในคลิป แต่คิดว่ามีประโยชน์คือการทวนซ้ำ การตกตะกอนถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ และนำไปปรับแกนความคิดตัวเอง เพื่อทำให้งานที่ตัวเองสร้างเกิดคุณประโยชน์มากขึ้น
- ให้เราทำงานเหมือนศิลปิน คืองานทุกชิ้นที่คุณทำ มันคือสิ่งที่คุณบรรจงสร้างมันขึ้นมา คุณไม่ได้ทำงานแบบลวกๆ ส่ง คุณสร้างสิ่งนี้แบบเต็มศักยภาพที่คุณมี และหวังว่ามันจะสร้างแรงกระเพื่อมในทางประโยชน์ไปยังคนอื่นรอบตัวคุณด้วย
- ในมุมหนึ่ง สิ่งนี้คือ [[อิทธิบาท 4]]
- เราสัมพันธ์กับคนอื่น สิ่งอื่นข้างๆตัว จะเป็นสัตว์สิ่งของ อย่างแท้จริง ทุกการกระเพื่อมมีผล
- มีก็มีความจริงในหลักธรรมอีกข้อคือ [[ไตรลักษณ์]] โดยเฉพาะอนัตตา ซึ่งเราต้องเข้าใจก่อนว่า สิ่งรอบตัวไม่มีอะไรแน่นอน และสถานะภายในของสิ่งใดๆ พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เราก็เปลี่ยน รอบข้างก็เปลี่ยน คนก็เปลี่ยน ไม่มีอะไรที่เนื้อแท้มั่นคง มันเลยเกิดสิ่งที่เรียกว่าอนัตตา คือเราเป็นแค่กลุ่มความน่าจะเป็นที่มาซ้อนทับกันเฉยๆ
- ในทางกลับกัน เราก็ทำให้คนอื่นเปลี่ยนได้ คนอื่นก็ทำให้เราเปลี่ยนเหมือนกัน จริงๆ เรากลวงเปล่า ไม่มีอะไรอยู่ข้างใน
- เรื่องคุณแม่ มีผลต่อความคิดของพี่เอ๋มาก (ของผมด้วย)
- พอคุณแม่เป็น Parkinson คือมันสุญเสียด้านนึงของตัวเค้าเองไปแล้ว บางทีอาจจะพูดไม่คล่อง หรือจำเราไม่ได้ ทำอาหารจานเดิมไม่ได้ สิ่งที่เราคุ้นเคย คุ้นชิน หายไปแล้ว
- บอกกับแม่เรื่อยๆ ว่าทุกคนสบายดี แม่ไม่ต้องห่วง อยากให้คุณแม่ได้พัก
- พอเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ ยิ่งทำให้ตระหนักว่าชีวิตเราบางมาก มันไม่ยืนยง เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้
- พี่เอ๋เคยเลี้ยงหมาบางแก้วชื่อทอง แล้วมันป่วยมาหลายวัน แล้วทองตายวันถัดมา เราพึ่งเคยสัมผัสร่างไร้ชีวิต มันแข็ง มันเย็น มันต่างกับเมื่อวานมาก สิ่งที่หายไปมันไปอยู่ที่ไหน สิ่งที่เรียกว่าชีวิต คืออะไร เราอาจจะเห็นได้จากความตาย
- ตอนจัดงานศพ ต้องทำตาลปัตร พี่เอ๋เขียนว่า ชั่วคราวที่สวยงาม นั่นอาจจะเป็นชีวิตนะ
- น้อยคนคงมานั่งคิดว่าเราจะตายแบบไหน
- ตอนเรายังอยู่เราควรคิดยังไง
- ตระหนักอยู่เสมอว่าเราตายได้ทุกเมื่อ
- เพราะงั้นทุกช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่คือการมีสติ วิปัสสนาบ่อยๆ
- ค่อยๆ ปล่อย แล้วจริงๆ ทุกอย่างก็ไม่ใช่ของมึง ตัวตนมึงยังไม่ได้เป็นของมึงเลย
- อยากมีสติ สิ่งสุดท้ายก่อนตาย สิ่งที่อยากถือเอาไว้คือ "สติ" เราจะได้รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
- ทำวันนี้ให้ดีที่สุด มันก็เป็นประโยคง่ายๆ เรารู้มาตลอด
- แต่การรู้ด้วยหัว กับการเข้าใจและรู้สึกถึงมัน มันต่างกัน แต่เมื่อเรารู้สึกถึงมัน เราก็เข้าใจเลย ไม่รู้ทำไม มันเหมือน [[ปัจจัตตัง]]
- อายุ 30 ของแต่ละคนไม่เท่ากัน ถ้าเราจะบอกว่า ถ้าอยากบอกถึงคนที่อายุ 30 ต้องเข้าใจเรื่องอะไร หรือผ่านอะไรมา มันไม่มีคำตอบนั้น
- สิ่งที่อยากฝากถึงคนช่วงวัย 30
- ทดลอง อย่ากังวลกับความผิดหวัง เพราะบางทีเรื่องที่เราได้เรียนอาจจะดีกว่าแรงที่เราลงไปอีก ทดลองเยอะๆ ไปได้
- เรียนรู้ มันคือเรื่องเดียวกับการทดลอง เพราะการทดลองคุณก็ต้องตั้งสมมติฐาน ถ้าเราพลาด แปลว่าการสอบทานเราก็จะแม่นขึ้น
- ไว้วางใจกับสายธารชีวิตของตัวเอง เราไม่ได้เกิดมามีแต่ความสุข เราเกิดมาเพื่อเข้าใจชีวิตตัวเอง มันอาจจะทั้งทุกข์และสุขปนกัน บางครั้ง
- "ถ้าเราไม่ได้กำหนดทิศทางของสายน้ำ สายน้ำไม่เคยไหลผิดทิศ"
- อยู่กับลมหายใจให้บ่อยขึ้น บ่อยที่สุดยิ่งดี นั่นคือ มีสติ
- พอเราคิดว่าสิ่งที่สำคัญอยู่ข้างหน้า ไม่ได้อยู่ตรงนี้ มันเลยกลายเป็นว่า ความดื่มด่ำของตัวเอง มันจะเกิดตอนไหน แล้วความหมายของชีวิตของเราอยู่ตรง step ไหน
- เราอยู่ตรงไหนอย่างแท้จริง
- เหมือนจูบแรกของเรา เราจะอยู่กับปัจจุบันตรงนั้นให้นานเท่านาน เราจะจำมันได้ ห้วงเวลานั้นแหละ คือช่วงเวลาแห่งปัจจุบัน
- สำหรับเราคงเป็นตอนที่เราไปที่ Interlaken [[ยืนเฉยๆ Interlaken]]
- ถ้าเราใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ โดยที่ผ่านมาเราจำอะไรไม่ได้เลย ถ้าปีที่ผ่านมาเราจำอะไรไม่ได้เลย มันแปลว่า อะไรมันหายไปวะ
- ความอยากรู้ - หิวในความรู้ ยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้