วันก่อนมีรุ่นน้องที่รู้จักมาปรึกษาเรื่องงาน ว่าจะอยู่กับงานเดิม หรือจะย้ายดี คำถามสุดยอดคลาสสิค เพราะมันเป็นคำถามสไตล์ที่มันไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง ใจนึงเราก็ดีใจว่า เราก็เปิดพอที่จะให้รุ่นน้องมาปรึกษาได้บ้าง และเราก็เชื่อจากใจว่าเราให้คำแนะนำแบบเป็นกลาง ไม่มีอะไรปรุงเข้ามา เราตัดเรื่องผลประโยชน์ระหว่างกันออกในบทสนทนา เราเอาแค่ประโยชน์ของน้องตั้ง แล้วถามว่า อะไรดีที่สุดสำหรับน้องกันแน่นะ
นั่นก็เลยกลับมาถามคำถามหลักว่างานที่ดีคืออะไร?
สำหรับผมงานที่ดีทั้งหมด อยู่ที่โจทย์ของงาน ถ้าโจทย์ของงานมันทำให้เราเก่งขึ้นได้ และเรามีความแน่ใจประมาณ 60% ว่าเราน่าจะทำได้ นั่นคืองานที่ดี คือเลข 60% มันไม่ใช่เลขอุดมคติหรืออะไร แต่มันแค่ต้องไม่ 100% มั่นใจว่าเราทำได้ เพราะนั่นจะทำให้งานที่เราทำอยู่ในโซนง่ายเกินไป แล้วสำหรับงานประเภทนี้ ผมจะเบื่อง่าย เพราะรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่มันก็จะไม่ใช่งานประเภทโอกาสสำเร็จ 20% เพราะเราก็ไม่ชอบงานประเภทแทงหวย คือ ความพยายามทั้งหมดยังแทบไม่รู้เลยว่าหนทางที่จะพาเราไปสู่ว่าสำเร็จของงานคืออะไร อันนั้นเราจะมองว่าเป็นงานประเภทอ้อนวอนพระเจ้า
งานที่ดีมันเลยเป็นงานประเภทที่ว่าเราคิดว่า "น่าจะ" สำเร็จนะ มันไม่ยากเกินตัวเกินไป และมันก็ไม่ง่ายถึงขั้นว่าเรารู้ทุกหมากที่เราจะทำว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
และเมื่อเราทำงานไปประมาณนึงเราก็จะเห็นว่า เมื่อเราโตขึ้นในแง่ของการผ่านประสบการณ์ เราจะเห็นว่างานที่น่าจะสำเร็จ % ของโอกาสมันเพิ่มขึ้นตามประสบการณ์ที่เราพบเจอมา มันอาจจะเกิดจากความทรงจำและสัญชาตญาณของเราที่ใช้ตัดสินใจในงานเก่าๆ ที่ผ่านมา ทำให้เรารู้สึกมั่นใจขึ้น ว่างานที่เรากำลังจะทำมัน "น่าจะ" สำเร็จมากขึ้น ซึ่งเมื่อมันค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นสัก 80-90% สำเร็จ เมื่อถึงจุดนั้นก็จะเป็นจุดที่เราต้องมาคิดอีกที ว่าเราจะขยับตัวยังไง เราจะอยู่เพื่อพางานเราให้สำเร็จจริงๆ หรือเราจะขยับตัวไปหางานใหม่ ประเภทที่มัน "น่าจะ" สำเร็จน้อยลง หรือเรียกว่างานท้าทายขึ้น
โดยในมุมของบริษัทที่เป็นผู้จ้าง หรือนายจ้าง หรือเจ้าของกิจการ ก็พยายามจะออกแบบให้งานที่มอบให้กับ Talent เราขยาย Scope มากขึ้น นั่นหมายถึงว่างานที่จะส่งให้กับทีม เมื่อเริ่มรับรู้ได้ว่าทีมทำงานนี้ได้ที่โอกาสความสำเร็จจาก 50-60% เป็น 80-90% แล้ว เราก็จะส่งงานชิ้นถัดไปที่โอกาสที่ทีมคนนั้นมองว่าจะสำเร็จอยู่ที่ 50-60% ให้เค้าเป็นโปรเจคถัดไป เพราะเรามองว่าส่วน 30% ความมั่นใจที่เพิ่มมา ระหว่างพี่ในทีม และคนในทีมทำงาน ส่วนนั้นที่เรามองว่าคือพัฒนาการของการทำงาน ส่วนนั้นคือส่วนที่เราเก่งขึ้น พัฒนาขึ้น
รูปแบบการหางานประเภทไหนที่ไม่แนะนำ?
คืองานในรูปแบบที่ เราขยับความมั่นใจขึ้นมาเป็น 100% แล้ว คือเรารู้แหละว่างานนี้ทำยังไงก็สำเร็จ มันอาจจะเป็นงานอะไรก็ได้ แต่โอกาสพลาดแทบไม่มีเลย ทำงานได้ตามที่สัญญาแน่นอน แต่งานที่ถูกมอบมาเป็นงานนั่นอีก 20 ชิ้น งานประเภทนี้จะทำให้เราทำงาน "เร็วขึ้น" แต่ไม่ได้ขยายขอบเขตของโจทย์ที่เราได้รับ นั่นคือเราไม่ได้งานที่ท้าทายขึ้นเลย
เพราะฉะนั้นงานที่ควรทำสำหรับ คืองานที่เราได้โจทย์มา แต่ไม่กำหนดวิธีการ โจทย์นั่นต้องยากพอประมาณ แบบที่เรากล้าตบปากว่าเรารับงานนี้ แต่ก็ยังไม่ได้รู้ทันทีว่าทำงานนี้ยังไงทั้งหมด และเมื่อเราทำไปจนรู้งานทั้งหมดนั้น เราก็จะขยับไปหางานที่กว้าง หรืออยู่ในพื้นที่ของความไม่รู้มากขึ้นอีก เพื่อพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ไม่มีใครตอบได้ว่าทำงานนี้ยังไงให้สำเร็จ นอกจากเราเอง ถ้าเราค่อยๆ ขยับตัวเอง ไปหางานที่โอกาสสำเร็จสัก 50-60% สม่ำเสมอ นั่นคืองานที่เรามองว่าควรทำ
เพราะฉะนั้นในชีวิตผม เมื่อไหร่ที่ต้องเลือกงาน ผมก็จะเลือกงานที่โอกาสสำเร็จประมาณ 60% ไว้ มันต้องไม่ 100% และมันก็ต้องไม่ 20%