วันนี้วิ่งอยู่สวนลุมตอนเย็น พร้อมกับฟัง have a nice day ของพี่เอ๋ย้อนหลัง เล่าหนังสือเรื่อง “แด่หนุ่มสาว” ไม่เคยอ่านเล่มนี้เหมือนกัน แต่ประเด็นที่พี่เอ๋เล่าให้ฟังเกี่ยวหนังสือ คือ ความรักและความกลัว ยิ่งเราทำสิ่งที่รักและเลิกทำเพราะความกลัวมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งเป็นอิสระ หัวใจเราจะยิ่งรุ่มรวย และชีวิตเราจะมีความหมาย
.
ความกลัวสำหรับเราวิเคราะห์ยากมาก มันไม่ใช่สภาวะทางอารมณ์ระดับตื้นๆ แบบความเครียด ความโกรธ ความเสียใจที่ร่างกายมันบอกเลยว่าอุณหภูมิร้อนๆ ที่ผิวหน้า พร้อมอาการกำหมัด ที่บ่งบอกว่าคืออาการของอารมณ์โกรธ ความกลัวมันอาจจะมาในรูปแบบรวมๆกันของความเครียด ความโกรธ และเสียใจก็ได้ เพราะฉะนั้นหลายๆทีเราจึงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเรากลัวอยู่
.
ในหนังสือเรื่อง Bahave ได้เล่ามุมมองความกลัวในเชิงชีววิทยาไว้อย่างน่าสนใจ ความกลัวสัมพันธ์กับสมองส่วนที่ลึกที่สุดของมนุษย์ ส่วนที่ฝังมาตั่งแต่เราเป็นสัตว์เลี้อยคลาน นั่นคือ Amygdala สมองส่วนนี้ถูกกระตุ้นเมื่อเรารู้สึกว่าเราหรือคนที่เรารักตกอยู่ในอันตราย และอย่างที่บอกมันเป็นสมองส่วนที่ลึกที่สุด ลึกกว่าสมองส่วนตรรกะและเหตุผล ทำให้บางทีเราหาคำอธิบายไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าสภาพที่เป็นอยู่มันคือความกลัวหรือไม่
.
นอกจากนี้ สมองส่วน amygdala ยังทำงานเร็วที่สุดแบบที่เรายังไม่ทันรู้ตัว มันเป็นสัญชาตญาณที่ทำให้เราอยู่รอด และเป็นสมองส่วนที่กันที่เอาไว้ใช้แบ่งกลุ่มว่าคนหรือสัตว์ที่อยู่ตรงหน้าเป็นพวกเดียวกับเราไหม เราไว้ใจเค้าได้ไหม ยิ่งสังเกตได้ง่ายเท่าไหร่ สมองส่วนนี้ยิ่งทำงานได้ดี ในเชิงชีววิทยามันจึงมีเหตุผลว่า หากเราเจอคนที่สีผิวต่างกับเราโดยสิ้นเชิง หรือ หน้าตาไม่เหมือนเผ่าพันธุ์เรา ความเชื่อใจ และไว้ใจจะลดลง และความกลัวจะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ มันจึงทำให้เรามีความลำเอียงเริ่มต้นอยู่แล้ว ถ้าเราเจอคนที่หน้าตาหรือสีผิวต่างจากเรา หรือยิ่งเป็นสัตว์ เราจะยิ่งต้องหาเหตุผลมากขึ้นเพื่อมาปรับสมองตัวเองว่า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือพวกเรา เพราะฉะนั้นการเชื่อใจและลดความกลัวกับคนสเกลใหญ่นั่นยากและต้องใช้เวลา
.
ความกลัวยังเป็นสาเหตุของการแบ่งกลุ่มว่า คนนี้ไม่ใช่พวกเรา และยังทำให้เราใส่ใจกับคนที่ไม่ใช่พวกเราน้อยลง ความกลัวนี้ยัง apply ในขากลับกัน คือถ้าเป็นเผ่าพันธุ์เราโดยตรง (Offspring) เราจะยิ่งเชื่อใจ และมองว่าเป็นพวกมากขึ้น นี่ทำให้คนโดยทั่วไปมองคนในครอบครัวสำคัญมากกว่าคนที่ไม่รู้จักแถวบ้าน และคนไม่รู้จักแถวบ้านสำคัญกว่าคนประเทศอื่น และคนประเทศอื่นสำคัญกว่าคนที่มีชาติพันธุ์หรือสีผิวไม่เหมือนเรา และการกระทำของเราจะมอง priority ตามความลดหลั่นของความกลัว คือเราจะแสดงความรักและห่วงใย กับคนที่เรามองว่าเป็น “พวกเรา” มากที่สุด และลดลงเรื่อยๆ หากคนนั้นมีความต่างจากเรามากขึ้น
.
แต่การมองแบบนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ หากเราฝึกสมองส่วนตรรกะและเหตุผลเรามากขึ้น ว่าสัตว์โลกทั้งหมดก็คือพวกเรา ทุกสิ่งที่อย่างคือเพื่อนเรา สถานะนี้เป็นสถานะที่เท่าเทียบกัน ไม่ใช่การมีอำนาจเหนือกว่าหรือต่ำกว่า เราไม่ได้ครอบครอง ลูกหรือเผ่าพันธุ์เรา และเราก็ไม่ได้ต่ำศักดิ์ไปกว่าหัวหน้า หรือบุพการีเรา ถ้าเรามองมุมนี้มากขึ้น เราจะเห็นว่า ตัวเองก็เหมือนๆกับทุกคน และทุกสิ่ง เราพอๆกัน ไม่ได้เจ๋งกว่าหรือกากกว่า แต่เมื่อมองว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเพื่อนเรา เรามีสายใยเชื่อมโยงกับทุกสิ่ง สิ่งที่ได้คือเราจะลดกำแพงความกลัว เปลี่ยนมันเป็นความรักมากขึ้น เราจะมองเห็นปัญหาของคนหรือสัตว์ที่ต่างจากเรามากขึ้น เราจะใส่ใจสิ่งรอบข้างมากขึ้น นอกจากเราจะเห็นปัญหาแล้ว เราจะเห็นความสวยงามของความเชื่อมโยงระหว่างกันมากขึ้นเช่นกัน เพราะฉะนั้นดำเนินชีวิตแบบที่เราสำคัญพอๆกับทุกสิ่ง ทุกคน โลกจะสวยขึ้น ปัญหาของคนอื่นจะเป็นปัญหาของเรามากขึ้น แล้วคุณค่าของชีวิตเราก็จะเชื่อมโยงกับชีวิตคนอื่นมากขึ้นเช่นกัน
.
หนังสือเรื่อง “แด่หนุ่มสาว” พี่เอ๋ได้สรุปตอนท้ายว่า โลกในปัจจุบันยิ่งทำให้มุมมองของตัวตนเราโดดเด่นยิ่งกว่าใคร ชีวิตเราต้องอยู่ใน spotlight เราต้องมีคนจดจำ ซึ่งยิ่งมีความคิดนี้มากเท่าไหร่เรายิ่งกลัว และซึมซับความสวยงามของความสัมพันธ์ได้ยากขึ้นเท่านั้น กลับกันยิ่งเราเห็นความเชื่อมโยง สายสัมพันธ์ ระหว่างตัวเอง และสิ่งรอบตัวมากเท่าไหร่ ชีวิตเราจะมีความหมายมากขึ้น เราจะรักกับทุกเรื่อง รักในปัจจุบันขณะ เราจะส่งผ่านความรักให้กับเพื่อนเรา และในขณะที่ความกลัว เปลี่ยนเป็นความรัก เราจะมองเห็นโลกที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง